เรียนรู้จากรอยยิ้ม

ผมยืนอยู่บนรถไฟฟ้าอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงประกาศว่า
รถไฟจะหยุดให้บริการในสถานีหน้า
พอรถหยุด ผู้โดยสารทุกคนต่างกรูกันออกมาจากรถ
ไปยืนรอ ออกันอยู่ ที่หน้าบันไดเลื่อน
ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เป็นภาพปกติที่เห็นกันบ่อยๆ

ผมจึงยังชิวอยู่ โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะต้องเผชิญกับอะไร

พอลงไปถึงชั้น 2
เห็นคนจำนวนมากกว่าเดิม เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว
จากปริมาณการสะสมผู้โดยสารหลายๆ ขบวนรถไฟ กำลังยืนออกันหน้าบันไดเลื่อน
ผมเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า แย่แล้ว! (รู้สึกตัวช้าจัง)

จำนวนผู้โดยสารที่ผมเห็น ซึ่งคิดว่ามันเยอะแล้ว
แต่ผมกลับต้องตกตะลึง
เมื่อบันไดค่อยๆ เลื่อนลง เผยให้เห็นภาพปริมาณจำนวนคนมหาศาลที่ยืนอยู่ชั้นล่างอย่างช้าๆ
มันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
เห็นหัวแถว ออกันแน่นขนัด รอแตะบัตรออกจากประตูอัตโนมัติ
แถวยาวทะลักทะล้น คนยืนอยู่หนาแน่นเป็นแพเต็มพื้นที่ไปหมด
มองหาปลายแถวไม่เจอ

คนจำนวนมากยืนเบียดกัน ไหนจะร้อนกาย แต่ก็ยังไม่เท่าร้อนใจ
แทบทุกคนจึงมีสีหน้าที่บูดบึ้ง บ้างก็ทำหน้าเซ็งในอารมณ์
ส่วนคนที่โดดเบียด ก็จะมีสีหน้าบูดเบี้ยว ทำตัวลีบ
หรือแสดงอารมณ์ฮึดฮัดไม่พอใจก็มี

กว่าที่ผมจะผ่านประตูอัตโนมัติออกมาได้ ก็ใช้เวลาพอสมควร
ด้วยคิวที่แสนจะยาว คนเยอะอย่างที่บอก ไหนคนจะแน่นต้องค่อยๆ ขยับ ไหนจะโดนแทรกคิว ไหนจะต้องรอการคืนบัตรของผู้โดยสารหลายคนที่ถอดใจไม่ไปต่อ

พอออกมาได้แล้ว
สำหรับคนที่เลือกจะโดยสารรถไฟฟ้าต่อ
ก็จะไปยืนรอ ต่อแถวยาวทบไป-ทบมาหลายชั้น
เพื่อขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง พาไปส่งยังสถานีถัดไป

ผมยืนรอคิวอยู่ เกือบจะได้ขึ้นมอไซค์ล่ะ
ก็มีรถยนต์มาจอดข้างๆ เป็นคนเคยรู้จักกัน เรียกให้ขึ้นรถ ว่าจะพาไปส่ง
ผมเห็นความมีน้ำใจ จึงไม่อยากจะปฏิเสธ
ไหนจะอยู่ริมถนนด้วย เกรงใจรถที่ติดรออยู่ด้านหลัง
ทั้งที่เกือบจะถึงคิวตัวเองอยู่แล้ว
แต่ก็ตัดสินใจกระโดดขึ้นรถร่วมทางไปด้วยใจที่ลังเล

พอรถวิ่งไปได้ไม่นาน ปรากฏว่าจู่ๆ รถเกิดสำลักก่อนดับวูบไปอย่างดื้อๆ
ผมคิดในใจ “กูว่าแล้ว ให้มันได้หยั่งงี้สิ๊”

ผมลงไปช่วยเข็นรถเข้าข้างทาง มองไป เห็นสถานีรถไฟถัดไปอยู่ไม่ไกล
ใจอยากจะขอตัวเดินจากไปใจจะขาด
แต่อีกใจก็ห่วงเพื่อนร่วมทาง จะให้ลาจากทิ้งกันไปดื้อๆ ก็ดูจะแล้งน้ำใจ
จึงตัดสินใจอยู่ต่อ รอเป็นเพื่อน ทั้งที่รู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้

พอเจ้าของรถเอ่ยปาก ผมรู้สึกขอบคุณ
เหมือนได้รับคำอนุญาติให้จากมา โดยไม่ต้องรู้สึกผิดมากนัก
ขณะเดินห่างออกมา มีฝรั่งคนหนึ่งเดินยิ้มเข้ามาถามทางไปสถานีรถไฟหัวลำโพง
ปรากฏว่าฝรั่งคนนี้ก็ตกรถไฟฟ้าเหมือนกัน
ซึ่งทำให้เขาต้องตกรถไฟเที่ยวที่หัวลำโพงด้วย

รอยยิ้มของเขา ทำให้ผมฉุกคิดว่า
ทำไมเขาจึงยังยิ้มอยู่ได้ ทั้งที่ไปสายเหมือนกัน แต่ผมกลับหน้าบึ้ง ยิ้มไม่ออก
รอยยิ้มของเขาทำให้ผมแปลกใจ รอยยิ้มของเขาทำให้ผมผ่อนคลาย
รอยยิ้มของเขาทำให้ผมสดใส รอยยิ้มของเขา กลายเป็นรอยยิ้มที่สอนผมในวินาทีนั้นว่า
การยิ้มอาจจะไม่ได้ช่วยแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้น
แต่มันช่วยให้มีความรู้สึกที่ดีขึ้น
ความรู้สึกภายในที่ดีขึ้น จะช่วยให้ผมรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น

มันเหมือนกับว่า ผมเลือกไม่ได้หรอกว่า ‘อยาก’ หรือ ‘ไม่อยาก’ ตกรถไฟ
แต่ผมเลือกได้ว่า เมื่อผมตกรถไฟแล้ว ผมเลือกจะมีความรู้สึกอย่างไร
เครียด บูดบึ้ง หรือ ผ่อนคลาย แจ่มใส

ผมกล่าวขอบคุณที่เขาเป็นเหมือนครู
ผู้มาช่วยเตือนว่าผมเลือกได้ เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง

ในระหว่างที่เราเดินทางไปด้วยกัน

บทความที่ได้รับความนิยม

สันทนาการ