จุดสูงสุดของการมีชีวิตในฐานะมนุษย์


เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา พี่ขึ้นไปงานสวดและงานเผาศพของคุณย่าที่วัดสายดงยาง จ.พิจิตร

คุณย่าของพี่อายุ 89 ปี ท่านจากไปด้วยโรคอัลไซเมอร์ โรคนี้เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ อาการของโรคง่ายๆคือ จำอะไรไม่ได้ แรกๆ จะลืมเป็นช่วงๆ

ช่วงแรกที่ย่ามีอาการ ย่าจะชอบถามว่าพี่ชื่ออะไร ทุกๆ 5 นาที ต่อมา ย่าก็จะชอบทำแต่กิจวัตรเดิมๆ ทั้งวัน เพราะท่านลืมว่าท่านได้ทำสิ่งนั้นไปแล้ว ในช่วงปีหลังๆ ก่อนท่านเสีย ท่านก็ลืมแม้แต่วิธีกิน นึกคิด หรือ พูด สมองสั่งการไม่ได้ แล้วท่านก็จากไปอย่างสงบเพราะความชราภาพ

ถามว่าเสียใจหรือเปล่า แน่นอน ใครๆ ก็ต้องเสียใจ คุณย่ามักจะลงมาหาพี่ที่กทม. ทุกๆ ปิดเทอมตอนพี่ยังเป็นเด็ก แต่หลังจากที่ท่านป่วยท่านก็ไม่สามารถลงมาหาพี่ได้อีกบ่อยๆ ท่านเป็นโรคนี้อยู่ตั้ง 10 ปี 10 ปี ที่ผ่านมาพี่จึงเป็นฝ่ายกลับไปเยี่ยมท่านบ้าง แม้ท่านจะจำไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นท่าน ท่านเหมือนจะทำหน้ายิ้มมาให้พี่เสมอ แม้ท่านจะจำพี่ไม่ได้ ท่านก็ยังเป็นคุณย่าที่ใจดีของพี่ พี่คิดว่าถึงท่านจะจำพี่ไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่จำท่านได้ แล้วยังเห็นท่านมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว แต่ก็คิดว่าท่านแก่ขึ้นทุกวัน อย่างไรวันที่ท่านจะต้องพักผ่อนยาวก็ต้องมาถึง แล้วก็มาถึงจริงๆ

ตอนแรกพี่ไม่ได้ร้องไห้เลยเพราะเตรียมใจไว้มาหลายปีแล้ว คนเรายังไงเกิดมาก็ต้องตายทุกคนเป็นเรื่องธรรมดา แต่น้ำตาของพี่ไหลออกมาในวันที่มาเห็นภาพ ตอนปู่เข้าไปกอดโลงศพของย่า ก่อนที่โลงจะถูกยกไปเผา ภาพนั้นติดตาพี่มาจนทุกวันนี้ ปู่ใช้ชีวิตอยู่กับย่ามา 60 กว่าปี มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากในการประคับประคองคู่ชีวิตของเรา ต่อจากนี้ ปู่ต้องเหงาขนาดไหนกันนะ ที่ย่าจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้น วินาทีที่พี่เห็นภาพนั้น พี่เลยบอกกับตัวเองว่า เราจะขึ้นมาเยี่ยมปู่ให้บ่อยขึ้น นอกจากเพียงช่วงสงกรานต์ เพราะปกติ พ่อแม่และตัวพี่ใช้ชีวิตอยู่ที่กทม. เลยได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านปู่ปีละครั้งเท่านั้น แต่ถ้าได้มาเยี่ยมปู่บ่อยๆ ก็จะทำให้ปู่ไม่เหงา มาอยู่เป็นเพื่อนและคุยกับท่านเยอะๆ พี่เชื่อว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะเป็นกำลังใจให้ปู่มีสุขภาพที่แข็งแรง และไม่ตรอมใจเรื่องย่ามากนัก

นอกจากนี้ในวันเผาศพของคุณย่า พี่ได้ฟังเทศน์จากท่านเจ้าอาวาสที่วัดสายดงยาง ท่านเจ้าอาวาส เห็นคุณย่าของพี่มาตั้งแต่ย่าพี่อายุ 30-40 ปี เพราะย่าพี่ชอบเข้าวัดทุกวันพระ ท่านเจ้าอาวาสบอกกับพี่และแขกในงานว่า คุณย่าของพี่แม้จะจบเพียงชั้น ป. 4 แต่ท่านคือบุคคลที่ได้ปริญญาชีวิตชั้นสูง เป็นยิ่งกว่าปริญญาทางการศึกษา เพราะคุณย่าของพี่ เป็นคนมุมานะ ขยัน อดทน และเป็นคนดี ตั้งใจทำมาหากิน แม้เป็นเกษตรกรปลูกไร่ทำนาก็ไม่เคยย่อท้อ ตั้งใจทำงานและซื่อสัตย์ ทำมาหาเลี้ยงครอบครัวกับปู่ จนส่งลูกๆให้ได้เรียนชั้นสูงๆ เติบโตเป็นคนดีและเป็นเจ้าคนนายคน นั่นล่ะ คือ ปริญญาชีวิต

พระท่านยังบอกอีกว่า คนเราทุกคนเกิดมามีโอกาสมีเงินในชีวิตได้เท่ากันหมด คือ จะมีได้มากสุด 1 บาท โดยสะสมไปทีละ 25 สตางค์, 25 สตางค์แรก คือ ได้ “เกิด”, 25 สตางค์ต่อมารวมเป็น 50 สตางค์ คือ ได้ “แก่”, 25 สตางค์ต่อมารวมเป็น 75 สตางค์ คือ ได้ “เจ็บ”, และ 25 สตางค์สุดท้ายรวมเป็น 1 บาทพอดี คือ ได้ “ตาย” ซึ่งคุณย่าพี่ท่านได้มีจนครบ 1 บาท แล้ว จุดนี้ก็คือจุดสูงสุดของการมีชีวิตในฐานะมนุษย์

นอกจากนี้เหรียญชีวิตที่เราสะสม ยังมีได้ 2 หน้าเท่านั้น คือ หน้า “ดี” กับ หน้า “ชั่ว” เราเลือกได้ที่จะเป็นหน้าไหน เราเป็นยังไง คนก็จะเห็นเราเป็นแบบนั้น ท่านบอกว่า ความชั่วทำง่ายคนเลยชอบทำชั่ว แต่ทุกครั้งที่เราชั่ว เราจะมีอีกทางเลือกให้เราทำดีได้เสมอ อยู่ที่ตัวของเราเลือกเองว่าจะทำหรือเปล่า? ชีวิตหนึ่งเกิดมาเพียง 1 บาทนี้ จงหมั่นสั่งสมความดีไว้เยอะๆ 

เรื่องที่เกิดกับชีวิตของพี่ในครั้งนี้มันทำให้พี่ได้ข้อคิดดีๆ มาเตือนใจหลายอย่างเลย ชีวิตคนเราเกิดมาครั้งเดียว จงเลือกที่จะสั่งสมความดี เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นตามการกระทำของเราได้

“ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว”

แม้ว่าเราจะเจอเรื่องร้ายมาขนาดไหน ใครจะว่าอย่างไรก็อย่าเก็บมาคิดลบ จงเชื่อเสมอว่า คำดุด่าว่ากล่าว คือ คำสอนที่จะช่วยให้เราเข้มแข็งและเห็นตัวเองมากขึ้น

ส่วนคำชม ก็คือ กำลังใจในการสู้ต่อ อย่ายอมแพ้ แม้สิ่งที่เราเป็นคนภายนอกจะมองเรายังไงไม่สำคัญหรอก ทุกคนมีความเท่าเทียมกันหมด มีชีวิต 1 บาทเท่ากัน คนที่มีเงินมาก แต่เป็นคนไม่ดี ก็ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ทำอะไรต่อไปก็คงไม่เจริญ แต่คนที่มีเงินน้อย แล้วเป็นคนดี มีแต่คนพร้อมเข้ามาเกื้อหนุน จงเชื่อมั่นในเส้นทางที่ตนเป็นในการทำความดี แล้วชีวิตเราจะเจริญ ความดีจะปกป้องคุ้มครองคนดี อย่าย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่ต้องกลัว เพราะอุปสรรคความยากลำบากนี่ล่ะที่จะทำให้เราเติบโตเป็นคนที่แข็งแกร่งมากกว่าคนที่ขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเหนื่อยยาก

สุดท้าย อยากให้ดูแลและให้ความสำคัญกับคนที่ตัวเองรักให้มากในเวลาที่ยังมีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน อะไรที่เคยทำผิด ก็ขอโทษ อะไรที่เคยโกรธหรือโมโห อยากให้ให้อภัยซึ่งกันและกัน อย่าเอาเวลาที่ควรได้มีความสุขเวลาอยู่ด้วยกันมาใช้ให้หมดไปกับความรู้สึกโกรธหรือไม่พูดกันเลย เพราะมันจะเสียเวลาเปล่าๆ 

หวังว่าเรื่องเล่าของพี่จะทำให้น้องๆมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตและมีจิตใจที่เข้มแข็งในการอดทนต่อสู้กับทุกๆ สิ่งที่จะเข้ามานะคะ
'กิจกรรม : บริจาคเรื่องเรา เร้าพลังน้อง' บริจาคประสบการณ์ชีวิตของคุณสร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังใจเด็กๆ ส่งมาได้ที่ farmsookicecream@gmail.com ขอบคุณการแบ่งปันทุกๆ เรื่องราว

บทความที่ได้รับความนิยม

สันทนาการ